SEO คืออะไร [อัปเดตล่าสุดปี 2023]

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ การปรับแต่งรูปแบบในการเขียนโค๊ด ปรับแต่งความเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์ และการเขียนเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและเกี่ยวข้องกับธุระกิจหรือสินค้าของคุณเพื่อให้แสดงผลในอันดับต้นๆของเว็บ Search Engine เช่น เว็บ Google, Bing เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ปรับแต่งเว็บไซต์ของการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับอยู่ในลำดับต้นๆ ของผลการค้นหา ด้วยคีย์เวิร์ด (Keyword) หรือคำค้นหาที่คุณต้องการและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ซึ่งการทำ SEO ที่ดีและได้ผลนั้นเว็บที่ทำ SEO ควรที่จะอยู่หน้าแรกแต่ไม่ควรอยู่เกินหน้าที่ 2 ซึ่งจะได้รับการเข้าเยี่ยมชม บ่อยครั้งมากที่สุด ยิ่งอันดับสูงเท่าไรอัตรการคลิกเข้าสู่เว็บก็สูงขึ้นเท่านั้น

what is seo

ทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญ

เพื่ออธิบายถึงความสำคัญของการทำ SEO เบื่อต้นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของ 3 คำนี้ก่อน

  • ผลการค้นหาแบบออร์แกนิค: หรือผลการค้นหาที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์อยู่หน้าแรกของผลการค้นหาโดยเสิร์ชเอ็นจินจะแสดงผลการค้นหาที่มีประโยชน์และเกี่ยวข้องที่สุดให้กับผู้ที่ทำการค้นหา ซึ่งการจ่ายเงินโฆษณา (Google Ads - PPC หรือโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก) การจัดวางการแสดงผลจะแตกต่างกับการค้นหาแบบออร์แกนิคทั่วไปและคุณไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาแบบออร์แกนิคทั่วไปได้
    organic vs paid search results
  • คุณภาพของการเข้าเว็บไซต์จากผลการค้นหาแบบออร์แกนิค: แน่นอนว่าคุณสามารถจ่ายเงินเพื่อให้โฆษณาของคุณอยู่หน้าแรกบนเสิร์ชเอ็นจินอย่างกูเกิลได้แต่ว่าถ้าผู้เข้าชมที่กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีการรักษาเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณเพราะคุณจ่ายเงิน พวกเขาอาจกดที่โฆษณาของคุณเพราะคิดว่าเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับวิธีการรักษาแต่เมื่อเข้ามาแล้วได้ค้นพบว่าเว็บของคุณเป็นสถานที่รักษา ผู้เข้าชมเหล่านั้นมักจะออกจากเว็บไซต์ของคุณในทันทีโดยที่คุณเสียเงินและไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นผลการค้นหาแบบออร์แกนิคแตกต่างจากโฆษณาเหล่านี้ตรงที่การจัดวางอันดับตามอัลกอริธึมการจัดอันดับแบบออร์แกนิคของเสิร์ชเอ็นจินจะได้คุณภาพที่มากกว่าการโฆษณา
  • จำนวนการเข้าเว็บไซต์จากผลการค้นหาแบบออร์แกนิค: จำนวนผู้ใช้งานที่เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณผ่านผลการค้นหาแบบออร์แกนิค ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะคลิกผลการค้นหาที่ปรากฏใกล้กับด้านบนของ SERP มากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องทำ SEO เพื่อจัดอันดับหน้าที่เกี่ยวข้องให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งคุณดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณด้วยคุณภาพสูงได้มากเท่าไร คุณก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่จะเห็นจำนวนลูกค้าที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้น

เทคนิคการทำ SEO ปี 2023

เสิร์ชเอ็นจินเช่น Google และ Bing ใช้บอทหรือบางครั้งเรียกว่าสไปเดอร์ ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดที่พบบนอินเทอร์เน็ต บอททำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเริ่มต้นจากหน้าเว็บที่รู้จักและติดตามลิงก์ภายในไปยังหน้าต่างๆ ภายในเว็บไซต์นั้น ตลอดจนลิงก์ภายนอกที่ไปยังหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์อื่นๆ เนื้อหาบนหน้าเหล่านั้น รวมทั้งบริบทของลิงก์ที่ติดตาม ช่วยทำให้บอทที่รวบรวมข้อมูลเข้าใจเนื้อหาว่าแต่ละหน้าเกี่ยวกับอะไร และเชื่อมโยงกับหน้าอื่นๆ ทั้งหมดภายในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของเสิร์ชเอ็นจิน

เมื่อผู้ใช้พิมพ์หรือพูดคำค้นหาลงในช่องค้นหา เสิร์ชเอ็นจินจะใช้อัลกอริธึมที่ซับซ้อนเพื่อดึงสิ่งที่เชื่อว่าเป็นรายการผลลัพธ์ที่ถูกต้องและมีประโยชน์มากที่สุดสำหรับคำค้นหานั้น ผลการค้นหาแบบออร์แกนิคเหล่านี้อาจรวมถึงหน้าเว็บที่เต็มไปด้วยข้อความ บทความข่าว รูปภาพ วิดีโอ รายชื่อธุรกิจในท้องถิ่น และเนื้อหาเฉพาะประเภทอื่นๆ

มีหลายปัจจัยที่อัลกอริทึมของเสิร์ชเอ็นจินใช้ในการวิเคราะห์ และปัจจัยเหล่านั้นมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้และความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของ AI ซึ่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการทำ SEO จัดลำดับความสำคัญไว้ดังนี้:

    seo ranking factors

จากข้อมูลเบื้องต้นจึงนำมาสรุปเป็น เทคนิคการทำ SEO ปี 2023 ตามหัวข้อที่สำคัญได้ดังต่อไปนี้

1. เขียนเนื้อหาใหม่ที่มีประโยชน์โดยไม่ลอกใครมาและลงรายละเอียด

การเขียนเนื้อหาหรือบทความที่จะใส่ไว้ในเว็บไซต์ของเราเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งหัวใจสำคัญคือการเขียนเนื้อหาใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนการลอกเลียนแบบเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่นจะไม่เป็นผลดีกับเว็บไซต์ของเราเลยแถมยังทำให้อันดับของเว็บไซต์ตกลงกว่าเดิมอีกด้วย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ทีจะต้องเอาเนื้อหาจากที่อื่นมาลงควรเขียนให้เครดิตกับเว็บที่เราเอาเนื้อหาบางส่วนมาด้วย ถึงอย่างไรก็ตามแนะนำให้ทำการต้องเขียนเนื้อหาใหม่ขึ้นมาเองจะได้ผลในการทำ SEO ที่ดีที่สุด

การเขียนเนื้อหาใหม่ที่มีประโยชน์ควรเขียนอย่างไร

การเขียนเนื้อหาที่ดีควรคำนึงถึง คีย์เวิร์ด ที่ต้องการแล้วเขียนเนื้อหาให้ครอบคลุมกับคีย์เวิร์ดที่เราต้องการในทุกมิติ และเนื้อหาที่ดีควรมีคำไม่ต่ำกว่า 700 คำ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดไม่ควรต่ำกว่า 2,000 คำ ซึ่งหากเนื้อหาที่คุณเขียนมีคนเข้ามาอ่านและทำการแชร์เยอะขึ้นเท่าใดอันดับของเว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งดีขึ้น

จงอย่าลืมว่าเนื้อหาที่ดีต้องเขียนให้ถูกหลักการเขียนของแต่ละภาษาของเว็บไซต์นั้นๆ เช่นตัวสะกด คำศัพท์ที่ใช้ ต่างๆเหล่านี้ล้วมมีอิธิพลต่อเนื้อหาที่เราเขียน

2. มีกลยุทธ์การจัดวางคีย์เวิร์ดที่ดี

กลยุทธ์การจัดวางคีย์เวิร์ดที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปรับ On-page SEO บนหน้าให้เหมาะสม คุณต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเพื่อที่จะวางคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในตำแหน่งที่ถูกต้อง

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพตำแหน่งคีย์เวิร์ดเพื่อให้อยู่ในหน้าที่ดีและถูกต้องควรทำอย่างไร

  1. การเขียน Title ที่ดีต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ใน Title ด้วย 1 ครั้ง
  2. ใส่ คีย์เวิร์ด ลงใน H1, H2 และ H3 อย่างน้อย 1 ครั้ง โดยไม่เน้นหรือจงใจใส่คีย์เวิร์ดหลายครั้งจนเกินไป
  3. ใส่ คีย์เวิร์ด ให้อยู่ใน 100 คำแรกเขียนเนื้อหาเน้นไปที่ คีย์เวิร์ด ที่ต้องการ
  4. จำกัดจำนวนคำ คีย์เวิร์ด ไม่ให้มีจำนวนเกิน 1.5% ของเนื้อหาทั้งหมด และควรสอดแทรก คีย์เวิร์ด ลงในเนื้อหาที่เขียนอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
  5. ใช้รูปภาพประกอบในเนื้อหาโดยใช้รูปที่เกี่ยวข้องการเนื้อหาและคีย์เวิร์ดที่ต้องการ

3. ปรับแต่งรูปภาพด้วย การตั้งชื่อรูปภาพ และการใช้ alt

รูปภาพเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการทำ SEO ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามและไม่ให้ความสนใจ แต่ถ้าปรับให้เหมาะสมแล้ว สิ่งเหล่านี้จะทำให้เว็บไชต์ของคุณมีปริมาณการเข้าชมมากขึ้น ดังนั้นการปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ด้วยรูปภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

บทความด้านล่างจะเป็นเทคนิคในทำ SEO ด้วยรูปภาพ

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของรูปภาพต้องทำอย่างไร

  1. เปลี่ยนชื่อรูปภาพ โดยใช้ชื่อรูปภาพที่สามารถอธิบายได้ว่ารูปภาพนั้นคือรูปภาพอะไร และควรหลีกเลี่ยงการตั้งชื่อรูปภาพที่ไม่มีความหมายเช่น 123.jpg การเปลี่ยนชื่อรูปภาพสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นพบด้วยวิธีการค้นหา แบบค้นหารูปภาพ เป็นต้น
  2. ใส่ คีย์เวิร์ด ใน alt เพื่ออธิบายภาพ ข้อความแสดงแทนคือข้อความที่ปรากฏแทนที่รูปภาพ หากเกิดการเชื่อมต่อช้า อืนเตอร์เน็ตไม่ดีจะไม่สามารถโหลดรูปภาพได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้เสิร์ชเอ็นจินทราบได้ง่ายว่าภาพนั้นเกี่ยวกับอะไร
  3. ใช้รูปภาพประกอบในเนื้อหาโดยใช้รูปที่เกี่ยวข้องการเนื้อหาและคีย์เวิร์ดที่ต้องการ ปรับแต่งรูปภาพ ควรมี คีย์เวิร์ด อยู่ใน alt tag และชื่อภาพควรเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและคีย์เวิร์ด ที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น
    แย่: (ไม่ได้ใส่ alt)
    <img src='คีย์เวิร์ด.jpg'/>
    แย่: (สแปม)
    <img src='คีย์เวิร์ด.jpg' alt='คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ด' />
    ดี:
    <img src='คีย์เวิร์ด.jpg' alt='คีย์เวิร์ด' />
    ดีมาก:
    <img src='คีย์เวิร์ด.jpg' alt='การใส่ คีย์เวิร์ด ในรูปภาพ' />

4. เพิ่มเวลาหยุดนิ่งให้คนอยู่ที่เว็บไซต์ของเราให้นานขึ้น

การที่ผู้อ่านให้เวลาอยู่ที่หน้าเว็บของเราอย่างน้อย 2 นาที ถือเป็นสัญญานที่ดีดังนั้นการเพิ่มเวลาให้คนอยู่ที่เว็บไซต์ของเราให้นานขึ้นจึงเป็นเทคนิคในการทำ SEO อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีอันดับที่ดีขึ้น

ทำไมเวลาหยุดนิ่งที่ผู้อ่านอยู่ที่เว็บไซต์ของเราถึงมีผลต่ออันดับในการทำ SEO

เวลาที่การที่ผู้อ่านใช้เวลาหยุดนิ่งอยู่ที่เว็บไซต์เป็นสัญญาณการจัดอันดับที่ดีสำหรับเสิร์ชเอ็นจิน เช่น Bing และ Google ถึงแม้เวลา Google ไม่ได้ระบุเกี่ยวกับวิธีการคำนวณเวลาหยุดนิ่งสำหรับการที่ผู้อ่านให้เวลาอยู่ที่เว็บไซต์เป็นสัญญาณการจัดอันดับ แต่ว่าประวัติการทำงานของอัลกอริธึมของ Google ได้ใช้เวลาหยุดนิ่งเป็นสัญญาณการจัดอันดับ

ทำอย่างไรถึงจะเพิ่มเวลาหยุดนิ่ง หรือให้ผู้เข้าเว็บใช้เวลาอยู่ที่เว็บไซต์ของเราได้

  1. การใส่วิดีโอ ถึงแม้ว่าการใส่วิดีโอจะช่วยให้ผู้เข้าเว็บไซต์ใช้เวลาหยุดนิ่งที่เว็บของเราได้นานขึ้น แต่อยากไรก็ตามเทคนิคนี้ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก
  2. เขียนเนื้อหาให้ยาวๆ การเขียนเนื้อหาให้ยาวเป็นเรื่องที่น่าเบื่อแต่ถ้าข้อมูลที่ผู้เขียนมีประโยชน์มากๆ ข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นคลังความรู้แก่ผู้อ่าน ยิ่งเนื้อหาถูกแชร์มากขึ้นเท่าไร อันดับก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
  3. เขียนเนื้อหาเชิงโต้ตอบให้ผู้อ่านมีส่วนร่วม โดยแนวการเขียนเชิงเชื้อชวนให้ผู้อ่านมีปฏิสัมพันธ์ทำการโต้ตอบกับผู้เขียน ยิ่งมีผู้เข้าร่วมมากขึ้นเท่าใด อันดับก็ขะดียิ่งขึ้น
  4. อย่าเขียนเนื้อหาเพื่อทำหลายคีย์เวิร์ด หากผู้อ่านเข้ามายังเว็บไซต์ของเราแล้วพบว่าเนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการของผู้เข้าชม ส่วนใหญ่แล้วผู้เข้าชมเว็บจะทำการออกจากเว็บไซต์ที่ไม่ต้องการในทันที ดังนั้นการเขียนเนื้อหาไม่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่เราทำ SEO ยิ่งจะทำให้เกิดผลเสียกับอันดับของเว็บไซต์ของเราได้

5. ใช้ URL Friendly ให้ถูกต้อง

การใช้ URL Friendly นอกจากจะเป็นผลดีต่อ SEO แล้วยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ด้วยว่า URL ที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่นี้จะสื่อถึงเรื่องอะไรดังนั้นจึงควรใช้ URL Friendly ให้ถูกต้องด้วย

จะใช้ URL Friendly ให้ถูกหลัก On-page SEO ต้องทำยังไง

  1. เลือก URL ที่สั้น และเข้าใจได้
  2. ใส่ คีย์เวิร์ดใน URL กูเกิลสามารถเข้าใจได้ว่า URL แต่ละ URL จะสื่อไปทางไหนดังนั้นการเลือกใส่คีย์เวิร์ดไว้ใน URL จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการทำ SEO

6. ใส่ลิงค์ไปยังหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของเราเอง

การเชื่อมโยงภายในของบทความมีความสำคัญมาก เนื่องจากจะสร้างโครงสร้างที่ดีให้กับเว็บไซต์ของคุณ และกระตุ้นให้ผู้อ่านคลิกลิงก์เหล่านั้นเพื่ออ่านบทความหรือเนื้อหาอื่นๆ ในเว็บไซต์ด้วย

ช่วยรักษาอัตราการปิดเว็บในทันทีโดยรวมของเว็บไซต์ของคุณให้ต่ำลง ซึ่งเป็นผลดีสำหรับ SEO ขอยกตัวอย่างการเชื่อมโยงกันของ Wikipedia ซึ่งจะเห็นภาพได้ชีดเจนที่สุด

วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงภายในเพื่อประโยชน์สูงสุดของ SEO

ลิงก์ไปยังหน้าเนื้อหาที่กล่าวถึง เมื่อคุณกำลังเขียนเนื้อหาบทความให้ใส่ลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้น ตัวอย่างเช่น ในบทความนี้ ได้ทำการเชื่อมโยงไปถึง Google Ads ผู้อ่านที่สนใจอยากรู้จัก Google Ads สามารถกดลิงค์เข้าไปได้

7. ปรับให้เว็บไซต์แสดงผลให้เร็วขึ้น

ความเร็วในการเปิดเว็บมีผลกับการจัดอันดับของ SEO และยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอัลกอริธึมของกูเกิล นอกเหนือจากมีผลโดยตรงกับอันดับแล้วยังมีผลกับผู้ที่เข้ามายังเว็บไซต์อีกด้วย โดยสถิติแล้วหน้าเว็บไม่ควรใช้เวลาโหลดเกิน 2 วินาที หากเว็บไหนใช้เวลาโหลดถึง 3 วินาทีจำนวนการเข้าซ้ำจะลดลงไปถึง 50% หรือไม่กลับมายังเว็บไซต์นี้อีกเลย

ดังนั้นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเร็วที่เพิ่มขึ้นจึงถือเป็นเทคนิคในการทำ SEO ที่สำคัญ

วิธีการเพิ่มความเว็บของเว็บไซต์สำหรับ On-page SEO 2023

  1. เปิดใช้งาน Cache การเปิดใช้งาน cache จะช่วยเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ที่มีการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเพราะการใช้งาน cache เป็นการสร้างไฟล์ไว้รอโดยไม่ต้องไปเชื่อมกับฐานข้อมูล แต่การเปิดใช้งาน cache อาจจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องระบบการทำงานของ hosting ที่ดีด้วย ซึ่งบริษัท seo ของเรามีบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ hosting
  2. ใช้รูปภาพที่มีขนาดเล็ก โดยใช้เทคนิคการบีบอัดของเซิร์ฟเวอร์
  3. ใช้ CDN หรือ Content Delivery Network ซึ่งมีผู้ให้บริการอยู่มากมาย
  4. เลือกใช้ hosting ที่เร็ว อย่างเช่น ไชโย โฮสติ้ง ที่สามารถรองรับการเข้าเว็บไซต์ที่มีคนเข้าเยอะพร้อมๆกันได้
เราสามารถใช้เครื่องมือในการทดสอบความเร็วของเว็บไซต์ Google PageSpeed Insights เพื่อตรวจสอบว่าเราต้องปรับแต่งอะไรเพิ่มบ้าง หากเกิดข้อผิดพลาดให้ทำการแก้ไขให้ถูกต้อง

8. ปรับแต่ง Title

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Title คือส่วนที่เสิร์ชเอ็นจินเอาไปแสดงผลดังนั้นการปรับแต่ง Title จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สำคัญซึ่งความยาวของ Title ไม่ควรเกิน 71 ตัวอักษร ดังนั้น Title ที่ดีควรมีความกระชับได้ใจความและเกี่ยวข้องกับ คีย์เวิร์ด ที่เราต้องการ

วิธีการปรับแต่ง Title ให้น่าสนใจและเพิ่มยอดการคลิ๊ก

  1. คีย์เวิร์ดควรถูกวางไว้หน้าสุดของ Title เนื่องจากอัลกอริธึมของเสิร์ชเอ็นจินให้ความสำคัญกับคำคำแรกเสมอ
  2. Title ควรเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ห้ามเขียนสแปม คีย์เวิร์ด โดยเด็ดขาด
  3. พยายามใส่คำขยาย Title ที่ดีความมีการเพิ่มคำขยายลงไปเช่น ดีที่สุด, ราคาถูก เป็นต้น วิธีการนี้มักใช้ได้ผลเสมอเพราะผู้ใช้มักจะสนใจแต่เรื่องที่ดีๆ

9. ปรับแต่ง Description

ถึงแม้ว่า Google Guideline ได้บอกว่ากูเกิลไม่ได้ใช้ Description ในการจัดอันดับแล้วแต่ว่าเสิร์ชเอ็นจินเจ้าอื่นยังคงนำ Description มาใช้ในการจัดอันดับอยู่ และกูเกิลยังคงนำ Description มาแสดงบนหน้าผลการค้นหาอยู่

google ignore meta description
ดังนั้นการปรับแต่ง Description ทีดีจะช่วยเพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์ซึ่งเป็นผลดีต่อ SEO แน่นอนเพราะผู้ใช้จะเข้าใจได้ง่ายว่าเว็บเราเกี่ยวข้องกับอะไร

10. ปรับปรุง Favicon ให้น่าดึงดูด

หลายคนไม่เคยให้ความสนใจกับ Favicon เลยแล้วทำไม Favicon จึงสำคัญเพราะว่าในปัจจุบันการค้นหาทั้งหมดเกิดขึ้นบนโทรศัพท์มือถือและ Favicon ถูกแสดงไว้บนผลการค้นหาในมือถือ ดังนั้น Favicon ที่ดี เด่นชัด จะช่วยเพิ่มความสนใจให้กับผู้ค้นหาซึ่งอย่างน้อยสามารถช่วยเพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ได้ถึง 2% ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ

11. สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์

จงสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ด้วยเนื้อหาที่มีประโยชน์และตรงตามความต้องการของผู้ที่กดเข้ามายังเว็บไซต์ของเราตรงตามคีย์เวิร์ด โดยปกติแล้วการค้นหาข้อมูลบนกูเกิลหากยังไม่เจอข้อมูลที่ผู้ใช้งานต้องการ ผู้ใช้งานนั้นจะทำการค้นหาและเข้าเว็บอื่นต่อๆ ไปดังนั้นหากเว็บไซต์ของเราตอบโจทย์ของผู้ใช้งานได้ การเข้ามาใช้งานซ้ำจะเกิดขึ้นและไม่ว่าเว็บของคุณจะอยู่อันดับอะไรผู้ใช้งานก็จะเลือกเข้าเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับแรกเสมอ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดด้วยเนื้อหาที่มีประโยชน์แล้วคุณจะค้นพบความสำเร็จที่ต้องการ

    ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ SEO มีอะไรบ้าง

  1. สามารถทำให้ได้กลุ่มลูกค้าที่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้
  2. สามารถโปรโมทเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  3. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของท่าน
  4. ทำให้เว็บไซต์ของท่านติดอันดับบนเว็บเสิร์ชเอ็นจินได้
  5. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเมื่อเทียบกับการโฆษณาประเภทอื่นๆ
  6. ทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการค้นหาบนเว็บเสิร์ชเอ็นจิน

SEO สายดำสายขาว ที่เรียกกันต่างกันยังไง

พูดง่ายๆก็คือ SEO สายดำ คือการโกง ส่วน SEO สายขาว คือการทำ SEO ที่ถูกต้องตามหลักของเว็บ Search Engine นั่นเอง ซึ่ง SEO สายขาวขั้นตอนการทำได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นนั่นเอง ส่วนการทำ SEO สายดำ หรือสาย Dark นั้นขั้นตอนก็ไม่ยากเช่น การซื้อ link, การทำ spam keyword, การทำเขียน script ไปแป๊บไว้ที่เว็บอื่นให้ redirect มายังเว็บของเรา เป็นต้น ซึ่งวิธีการเหล่านี้ล้วนผิกกฏและเป็นข้อห้ามในการทำ SEO

เกี่ยวกับผู้เขียน

ชอบหาวิธีใหม่ๆ ในการทำการตลาดออนไลน์ให้มีคุณภาพ และชอบท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ชอบไปเห็นอะไรใหม่ๆ ขับรถเที่ยวเอง เที่ยวต่างประเทศ เขียนบทความเกี่ยวกับการทำ seo เพื่อให้ความรู้กับทุกคนที่สนใจในการทำการตลาดออนไลน์
Top